นาทีนี้ถ้าให้พูดถึงนวัตกรรมฟื้นฟูผิวระดับพรีเมียม Juvelook vs Sculptra คงเป็นคู่เปรียบเทียบที่หลายคนสนใจ ทั้งสองหัตถการนี้ได้รับการยอมรับในวงการความงามว่าช่วยฟื้นฟูผิวเติมคอลลาเจนในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมความยืดหยุ่นให้ผิวกลับมาแข็งแรง อิ่มฟู ดูกระชับอีกครั้ง
แม้จะดูเหมือนว่าทั้ง Juvelook และ Sculptra มีข้อดีและประโยชน์ใกล้เคียงกัน แต่ถ้าลองดูในรายละเอียดแล้ว ทั้งสองหัตถการมีความแตกต่างกันที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างชัดเจน
สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจว่าควรเลือกทำ Juvelook หรือ Sculptra ดี ในบทความนี้จะเปรียบเทียบในทุกแง่มุมของทั้งสองหัตถการ ไม่ว่าจะเป็นกลไกการทำงาน ข้อดี ข้อเสีย ช่วงเวลาที่เห็นผล และความเหมาะสมกับผิวแต่ละแบบ ถ้าต้องเลือกทำเพียงหนึ่งหัตถการ อะไรคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ไปหาคำตอบกันเลย!
Juvelook vs Sculptra คืออะไร?
เมื่อพูดถึง Juvelook vs Sculptra หลายคนอาจสงสัยว่าทั้งสองตัวนี้ต่างกันยังไง ในความจริงแล้ว ทั้งคู่จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator หรือสารที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวเสื่อมสภาพเหมือนกัน แต่มีส่วนประกอบและกลไกการทำงานต่างกัน
Juvelook คือนวัตกรรมฟื้นฟูคอลลาเจนที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยยกกระชับผิว เพิ่มวอลลุ่มให้ผิว ช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดริ้วรอยจางๆ และช่วยกระชับรูขุมขนได้ด้วย Juvelook ประกอบด้วยสารหลัก 2 ชนิดคือ Poly D, L-Lactic Acid (PDLLA) ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นผิว เสริมโครงสร้างผิว ช่วยเรื่องความกระชับของผิว และ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Non-Crosslinked ที่ช่วยเติมเต็มริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้นทำให้ผิวโกลว์ ฉ่ำน้ำ
ในฝั่งของ Sculptra ก็เป็นสารในกลุ่ม Collagen Biostimulator ที่มีส่วนประกอบหลักเป็น Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นผิว ช่วยให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูคอลลาเจนในผิวของเราเองได้ถึง 66.5% บำรุงผิวลึกถึงโครงสร้างผิวชั้นล่าง เมื่อผิวเริ่มผลิตคอลลาเจนใหม่ ก็จะมีความตึง กระชับ ริ้วรอยลึกก็ตื้นขึ้น และหน้าเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด
Juvelook VS Sculptra ช่วยอะไร?
Juvelook และ Sculptra เป็นสารในกลุ่ม Collagen Biostimulator แล้ว Juvelook และ Sculptra ช่วยอะไร คำตอบก็มีดังนี้
- ช่วยฟื้นฟู ปรับสภาพผิวให้ยืดหยุ่นและกระชับมากขึ้น และลดริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า
- ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เนียนไปกับผิว ไม่เป็นก้อน
- ช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้กับผิว แก้ปัญหาผิวทรุด ผิวหย่อน ผิวหลวม
- ช่วยให้หน้าดูเด็กลง ผิวอิ่มฟู ดูกระชับ
- ป้องกันและชะลอความเสื่อมของผิว คืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า
- กระตุ้นเซลล์ผิวให้ทำงานและฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น
Juvelook VS Sculptra เหมาะกับใคร?
Juvelook เหมาะกับใคร?
- ผิวหมอง หน้าแห้ง แต่งหน้าไม่ติด
- มีปัญหารูขุมขนกว้าง
- มีหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน
- ผิวขาดวอลลุ่ม ผิวโทรมเสื่อมสภาพ
- ใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ มีร่องน้ำตา
- มีริ้วรอย มีตีนกา มีริ้วรอยรอบๆ คอ
Sculptra เหมาะกับใคร?
- คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
- คนที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น ขาดคอลลาเจน
- คนที่ผิวเริ่มมีอายุ หน้าห้อย มีริ้วรอยจางๆ
- คนที่โครงสร้างผิวไม่แข็งแรง ผิวหลวม ขาดการดูแล
- คนที่ต้องการให้ผิวดูแน่น อิ่มฟู ดูกระชับ
ตารางเปรียบเทียบ Juvelook VS Sculptra
| คุณสมบัติ | Juvelook | Sculptra |
| ส่วนประกอบ | PDLLA + Hyaluronic Acid (HA) | Poly-L-Lactic Acid (PLLA) |
| การทำงาน | เพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูคอลลาเจนในชั้นผิว | เน้น ฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึกที่เสื่อมสภาพ |
| เหมาะกับ | ผิวแห้ง แต่งหน้าไม่ติด รูขุมขนกว้าง ริ้วรอยตื้นๆ ผิวหมอง | ผิวหย่อนคล้อย ผิวเสื่อมสภาพ ขาดความกระชับ ริ้วรอยลึก ใบหน้าขาดมิติ |
| ระยะเวลาเห็นผล | ผิวดูเต็มขึ้น ดูฟูขึ้นทันทีหลังทำ ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผิวจะมีวอลลุ่มมากขึ้น ผิวเรียบเนียน ฉ่ำวาว สุขภาพดี | ผิวดูเต็มขึ้นทันที 20% เห็นผลเต็มที่ภายใน 3 เดือน ผิวแข็งแรง ใบหน้ายกกระชับ เต่งตึง |
| ตำแหน่งฉีด | ทั่วใบหน้า คอ มือ | แก้ม หน้าผาก ขมับ ขอบตา กรอบหน้า |
| ระยะเวลาคงผลลัพธ์ | ประมาณ 6-12 เดือน | 18-24 เดือน (1-2 ปี) |
Juvelook VS Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง? อยู่ได้นานแค่ไหน?
เมื่อเปรียบเทียบ Juvelook vs Sculptra ในแง่ของความถี่ในการฉีดและระยะเวลาของผลลัพธ์ พบว่า Juvelook ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้ประมาณ 1 ปีครึ่ง โดยแพทย์มักจะแนะนำให้ฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง และเว้นระยะห่างระหว่างการฉีดแต่ละครั้งประมาณ 4 สัปดาห์
ส่วนใครที่อยากรู้ว่า Sculptra ฉีดกี่ครั้ง? ต้องบอกว่าผลลัพธ์ของ Sculptra อยู่ได้นาน ถึง 2 ปี ซึ่งนานกว่าหัตถการอื่น ๆ อย่างโบท็อกหรือการฉีดฟิลเลอร์ โดยแพทย์จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งควรเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาตอบสนองต่อการกระตุ้นและสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่
Juvelook VS Sculptra ทำอันไหนดี?
การเลือกระหว่าง Juvelook vs Sculptra เป็นคำถามที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ สำหรับคนที่สนใจแก้ปัญหาผิวด้วยการฟื้นฟูคอลลาเจน ซึ่งคำตอบที่ดีที่สุดไม่ได้อยู่ที่ว่าหัตถการไหนดีกว่ากัน แต่อยู่ที่ว่าอะไรเหมาะกับสภาพผิวและความต้องการของเรามากกว่า การปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิว อายุ และปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการตัดสินใจเลือก
โดยแพทย์จะวิเคราะห์ลักษณะผิว ความหย่อนคล้อย ระดับริ้วรอย ความบาง-หนาของผิวแต่ละจุด รวมถึงเป้าหมายการรักษาที่ต้องการ เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งทั้ง Juvelook และ Sculptra ต่างก็มีจุดเด่นเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์ในปัญหาที่แตกต่างกัน
สำหรับคนที่ต้องการเห็นผลเร็ว ๆ เช่น กำลังจะมีงานสำคัญในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น หรือมีริ้วรอยตื้น ๆ Juvelook อาจเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า เพราะให้ผลลัพธ์ด้านความชุ่มชื้นได้เร็วและชัดเจน
ส่วนคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดวอลลุ่ม มีริ้วรอยลึกที่ชัดเจน หรือมีเวลารอผลลัพธ์ได้ Sculptra อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระดับลึก และให้ผลลัพธ์ที่คงทนยาวนาน โดยในบางกรณีแพทย์อาจจะแนะนำให้ทำทั้งสองหัตถการร่วมกันเพื่อประโยชน์สูงสุด โดยอาจเริ่มจาก Sculptra เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิวก่อน แล้วตามด้วย Juvelook เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความเปล่งปลั่งตามมา
Juvelook VS Sculptra ฉีดทั้งคู่ได้ไหม?
Juvelook vs Sculptra หลายคนอาจสงสัยว่าจำเป็นต้องเลือกแค่หนึ่งหัตถการเท่านั้นไหม ถ้าฉีดทั้ง Juvelook และ Sculptra อันตรายไหม? ความจริงแล้ว ทั้งสองหัตถการนี้ทำควบคู่กันได้และในหลายกรณีการทำร่วมกันอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นก็เป็นได้ เพราะแต่ละหัตถการมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยการตัดสินใจทำทั้ง Juvelook และ Sculptra ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาจากสภาพผิว ความต้องการ และเรื่องอื่น ๆ ประกอบกัน รวมถึงแนะนำช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทำแต่ละหัตถการ
โดยทั่วไปถ้าเริ่มจาก Sculptra แพทย์มักแนะนำให้เว้นระยะประมาณ 3-6 เดือนก่อนทำ Juvelook หรือในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ฉีดในจุดที่แตกต่างกัน เช่น ใช้ Sculptra สำหรับกรอบหน้าและหน้าแก้มเพื่อเพิ่มมิติ และใช้ Juvelook ฉีดผิวชั้นตื้น เน้นจุดที่ต้องการความชุ่มชื้นหรือมีริ้วรอยตื้น ๆ
Juvelook VS Sculptra เจ็บไหม?
Juvelook vs Sculptra เจ็บไหม? คำถามยอดฮิตที่หลายคนอยากรู้ก่อนตัดสินใจฉีด ที่ Aura Bangkok Clinic ก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจทำหัตถการ แพทย์จะประเมินผิวและวิเคราะห์สภาพผิวให้โดยละเอียด ก่อนทำหัตถการจะมีการเตรียมผิวด้วยการแปะยาชาก่อนเริ่มทำ ช่วยลดความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีดได้ดี โดยเฉพาะ Juvelook ซึ่งฉีดในชั้นผิวตื้น อาจรู้สึกแค่เพียงจี๊ดเบา ๆ เท่านั้น เหมาะกับคนที่กลัวเข็มหรือไม่เคยฉีดมาก่อน
ส่วน Sculptra แม้จะต้องฉีดเข้าไปลึกกว่าเล็กน้อย แต่ที่ Aura Bangkok Clinic จะมีการแปะยาชาก่อนฉีด และมีการประคบน้ำแข็ง เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกเจ็บน้อยลง
ตัวเข็มที่ใช้จะเป็นเข็มทู่ขนาดเล็กพิเศษ ช่วยลดโอกาสเกิดรอยช้ำ ลดโอกาสที่ตัวยาจะเข้าเส้น แพทย์จะค่อยๆ ฉีดอย่างเบามือ แพทย์และพยาบาลจะคอยเช็กระดับความเจ็บของลูกค้าระหว่างฉีด หากทนเจ็บได้น้อย จะมีการปรับเทคนิคการฉีดเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกเจ็บน้อยที่สุด
Juvelook VS Sculptra ราคาเท่าไหร่?
Juvelook ที่ Aura Bangkok Clinic มีโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าออร่าเท่านั้น
Juvelook ราคาเพียง 15,900 บาท จากราคาปกติ 19,990 บาท
Sculptra ราคา 25,000 บาทต่อขวด แถมฟรีโปรแกรมวิตามินบำรุงผิวที่เลือกสูตรได้เองถึง 2 ครั้ง
ทุกโปรแกรม ยิ่งซื้อเยอะยิ่งคุ้ม พิเศษ! โปรผ่อนบัตรเครดิต ผ่อน 0% สูงสุด 6 เดือน
สนใจโปรผ่อน คลิกเลย!
สรุป
Juvelook vs Sculptra เป็นโปรแกรมฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมสูง ผลลัพธ์ชัดเจน คุ้มค่า โดย Juvelook ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ทันที พร้อมกับเสริมคอลลาเจนในผิวไปด้วย เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง รูขุมขนกว้าง หรือริ้วรอยตื้น ๆ เห็นผลเร็วและอยู่ได้ประมาณ 12 เดือนเมื่อฉีดครบตามโปรโตคอล
ส่วน Sculptra เน้นกระตุ้นผิว เติมคอลลาเจนในชั้นผิวระดับลึก เหมาะกับคนที่ผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ ผิวโทรมเสื่อมสภาพ แม้จะรอผลลัพธ์นานกว่า แต่ให้คงผลลัพธ์ได้นานถึง 2 ปี เมื่อฉีดต่อเนื่องตามที่แพทย์แนะนำ
ผิวโทรม ผิวไม่ยืดหยุ่น อยากหน้าเด็ก เข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อปรับรูปหน้าที่ Aura Bangkok Clinic ปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แพทย์ออกแบบการรักษาเคสต่อเคส ดูแลใกล้ชิดทุกขั้นตอน เน้นหัตถการที่ตอบโจทย์ปัญหา แพทย์ผ่านการเทรนนิ่งเทคนิคการฉีดจากบริษัทยาโดยตรง ใช้ยาแท้จากบริษัทยาชั้นนำระดับโลก เน้นดูแลระยะยาว เน้นความคุ้มค่า ปลอดภัย เห็นผล จองคิวปรึกษาวันนี้ ลูกค้าใหม่รับฟรี! โปรแกรมฉีดหน้าใส 2 เข็ม
สนใจโปรโมชั่น Juvelook และSculptra คลิกที่นี่!
Q&A
Q : ฉีด Juvelook vs Sculptra ใช้กี่ cc
A : Juvelook 1 ขวด มีปริมาณ 6 CC ในการฉีดแต่ละครั้ง ในลูกค้าแต่ละคน ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ โดยการคำนวณจำนวน cc ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน เพราะแต่ละคนมีความต้องการและการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกัน
Q : วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด Juvelook กับ Sculptra
A : ข้อปฏิบัติหลังฉีด Juvelook
- หลังฉีด JUVELOOK จะมีตุ่มนูนขึ้นตามจุดที่ฉีด เป็นเรื่องปกติและไม่อันตราย ตุ่มจะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-3 วัน
- อาจมีรอยเข็มเล็ก รอยแดงจางๆ รอประมาณ 4-6 ชั่วโมงเมื่อแผลปิดสนิท สามารถใช้คอลซีลเลอร์กลบได้ รอยแดงที่มีจะค่อยๆ หายได้เองภายใน 5-7 วัน
- เพื่อความสะอาดและลดโอกาสติดเชื้อ แนะนำให้ใช้น้ำสะอาด น้ำดื่ม น้ำเกลือในการทำความสะอาดผิว และงดแต่งหน้าในช่วง 24 ชม. หลังฉีด
- รอยเขียวช้ำ เกิดได้ในบางเคสและไม่อันตราย สามารถทายาลดรอยเขียวช้ำได้ และรอยช้ำจะค่อยๆ หายได้เองภายใน 7-14 วัน
- ควรบำรุงผิวหน้า ทามอยเจอไรเซอร์ ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
- ควรฉีดอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและยาวนาน
การดูแลหลังฉีด sculptra
- ควรประคบเจลเย็นบริเวณที่ทำการฉีดในช่วง 24 ชม. แรกเพื่อลดอาการบวม
- นวดหน้าตามหลัก Triple 5 ต่อเนื่อง 5 วัน วันละ 5 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที เพื่อให้ตัวยากระจายทั่วใบหน้า
- 24 ชั่วโมงหลังฉีด งดแต่งหน้า งดทาครีมบำรุง งดอบซาวน่าและอบไอน้ำ งดทำหัตถการที่ใช้ความร้อน ยิงเลเซอร์ Ultraformer III, Thermage, Uthera
- ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดหรือแสงยูวีจนกว่าอาการบวมแดงจะหายไป
- งดแกะ เกา บีบและสัมผัสรอยเข็ม ถ้าเป็นคนบวมช้ำง่าย สามารถกินยาลดรอยช้ำได้
- ถ้าต้องการทำหัตถการอื่นๆ บนใบหน้า เช่น ฟิลเลอร์ ฉีดแฟต วิตามินหน้าใส ควรเว้นระยะห่าง 7-14 วัน (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์)
อ้างอิง
Everything You Need to Know About Juvelook Before Your Appointment. (2025). KoreaBeautyTech. https://www.koreabeautytech.com/en-wo/blogs/news/everything-you-need-to-know-about-juvelook-before-your-appointment?srsltid=AfmBOopzLqAxq-aL3QKwD1dwAhhMREp_dGchN0TXajwz84HrB9vjz8Vr
Sculptra: What It Is, Where It’s Injected, Results & Risks. (n.d.). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/treatments/24676-sculptra

















