หลายคนที่ดริปวิตามินหรือฉีดวิตามินผิวอาจมีคำถามหรือความกังวลว่าหลังดริปแล้วต้องระวังอะไรบ้าง มีผลข้างเคียงอะไรไหม หรือไม่มั่นใจว่าจะเห็นผลจริงไหม
ในบทความ Aura Bangkok Clinic จะพาทุกคนมาดูข้อห้ามหลังดริปวิตามินที่ควรรู้ รวมถึงคำแนะนำที่ควรปฏิบัติเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผลลัพธ์ชัด คุ้มค่า เห็นผล และลดความเสี่ยงผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากการดริปผิว
ข้อห้ามหลังดริปวิตามิน มีอะไรบ้าง?
หลังดริปวิตามินผิว ไม่ได้มีข้อห้ามอะไรเป็นพิเศษ แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่างที่อาจทำให้แผลจากรอยเข็มติดเชื้อ หรือทำให้ผิวกลับมาคล้ำไว ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดแรง ๆ บริเวณที่เจาะเข็ม ไม่ควรแกะ เกา หรือขยี้ผิวตรงจุดที่ดริป เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการระคายเคือง แนะนำงดออกกำลังกาย หรือใช้แขนข้างที่เปิดเส้นยกของหนักๆ
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้รอยช้ำจากการเปิดเส้นชัดขึ้นและหายช้าลง แอลกอฮอล์ยังทำร้ายผิว ทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย ทำให้ผิวอ่อนแอ แต่ถ้ามีไม่รอยช้ำหรือไม่กังวลเรื่องผลลัพธ์ สามารถทานได้ตามปกติ
- หลีกเลี่ยงการออกแดดแรง ๆ เป็นเวลานานเนื่องจากรังสี UV สามารถทำลายเซลล์ผิวหนัง กระตุ้นให้เกิดเม็ดสีเมลานินทำให้ผิวหมองคล้ำ สีผิวเข้มขึ้นกว่าเดิม ผิวแห้งเสียสะสม และเสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอยเร็วกว่าปกติ
ฉีดวิตามินผิว อันตรายไหม มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
ใครที่ยังไม่มั่นใจว่าการดริปวิตามินผิว อันตรายไหม ต้องบอกว่าการดริปวิตามินผิวเป็นโปรแกรมที่ปลอดภัย แต่ต้องเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ให้บริการโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ และควรเลือกสูตรวิตามินที่สามารถตรวจสอบส่วนผสมได้ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการใช้สารที่อันตราย ซึ่งผลข้างเคียงหลังดริปวิตามินที่พบได้ทั่วไปไม่เป็นอันตราย สามารถหายได้เอง ดังนี้
- ขณะให้วิตามิน อาจรู้สึกไม่สบายท้อง เวียนศรีษะ คลื่นไส้ได้เล็กน้อย
- หลังดริป ปัสสาวะมีกลิ่นคล้ายวิตามิน
- รูเข็มบริเวณที่เปิดเส้น ปิดประมาณ 4-6 ชม.
- รอยแดงและรอยเข็ม ค่อยๆ จางลงใน 1-3 วัน
- อาจเกิดรอยช้ำได้ ใช้เวลาประมาณ 7-14 วันจะค่อย ๆ จางลง
ดริปวิตามินผิวแล้วผิวยังคล้ำ ไม่เห็นผล เกิดจากอะไร?
หลังดริปวิตามินไม่ได้ทำให้ผิวสว่างขึ้นในทันที ถ้าปล่อยให้ผิวโดนแดดโดยตรง แสงแดดจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวจะผลิตเม็ดสีเมลานินออกมา ทำให้ผิวกลับมาหมองหรือผิวกลับไปเป็นเฉดเดิมได้ ออร่าแนะนำให้หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง ทาครีมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ และควรดริปผิวต่อเนื่องตามที่แพทย์แนะนำเพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานและชัดเจน
หลังดริปวิตามินผิว ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
ข้อแนะนำในการดูแลตัวเองหลังดริปวิตามินผิว เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง แนะนำให้ดูแลตัวเองตามนี้
หลังฉีด
- หลังดริปวิตามิน อาจทำให้ปัสสาวะมีสีเข้มขึ้น หรือมีกลิ่นวิตามินปนกับกลิ่นปัสสาวะ เป็นเรื่องปกติที่ร่างกายขับวิตามินส่วนเกินออกมา กลิ่นจะค่อยๆ หายไปเอง
- อาจมีรอยเข็มบริเวณที่เจาะเข็มดริปวิตามิน ประมาณ 4-6 ชม. รอยเข็มจะปิดและมีรอยช้ำเขียวได้ เป็นอาการปกติที่จะหายได้เองภายใน 7-14 วัน
- ทาครีมกันแดดที่มีค่าการป้องกันผิวด้วย SPF 50+ PA++++ ทุกวัน ถ้าต้องทำกิจกรรมกลางแดดจัดควรทากันแดดเพิ่มระหว่างวันด้วย
- ทาครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วเพื้อเพื่อให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น
ดริปวิตามินแล้วยังต้องกินวิตามินไหม?
หลังดริปวิตามินแล้ว แนะนำให้กินก็ยังสามารถกินวิตามินได้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะวิธีที่ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เต็มที่ โดยวิตามินที่เข้าไปในร่างกายจากการดริปหรือฉีดจะสามารถฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ได้ทันที ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ดังนั้นการดริปผิวคู่กับการทานวิตามิน เป็นสิ่งที่ดีและช่วยให้ผลลัพธ์ชัดเจน วิตามินทุกสูตรของ Aura Bangkok Clinic สามารถทำควบคู่กับการทานวิตามินหรืออาหารเสริมได้ทุกยี่ห้อ
ดริปวิตามินแล้วไม่ดีกับตับจริงไหม?
เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยและได้ยินกันบ่อยว่า “การดริปวิตามินเข้าเส้นเลือดจะส่งผลเสียต่อตับหรือเปล่า?” หรือ “ฉีดบ่อย ๆ ตับจะพังไหม?” ซึ่งความกังวลเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตับเป็นอวัยวะสำคัญในการกรองและกำจัดสารต่าง ๆ ออกจากร่างกาย รวมถึงวิตามินที่ร่างกายไม่ต้องการด้วย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การดริปวิตามินหรือฉีดวิตามินผิวไม่ได้ส่งผลเสียต่อตับโดยตรง หากดำเนินการภายใต้การดูแลของแพทย์ และฉีดในปริมาณที่เหมาะสมตามความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะหากเว้นระยะเวลาแต่ละรอบการฉีดอย่างเหมาะสม ให้ร่างกายมีเวลาปรับตัวและขับสารส่วนเกินออกได้ตามธรรมชาติ
วิตามินที่ใช้ในการดริปส่วนใหญ่เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ เช่น วิตามินซี วิตามินบี รวมถึงกลูต้าไธโอน ซึ่งหากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ส่วนเกินก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะ ไม่ได้สะสมในตับเหมือนวิตามินที่ละลายในไขมัน (เช่น วิตามิน A, D, E, K) ดังนั้นจึง ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ชัดเจนว่าการดริปวิตามินในขนาดพอดี จะทำให้ตับเสียหาย หากมีความกังวลหรือเป็นโรคเกี่ยวกับตับ แนะนำปรึกษาแพทย์ก่อนดริปผิว
สรุป
การดริปวิตามินผิวช่วยฟื้นฟูผิวหมองคล้ำให้กลับมาขาวใสสุขภาพดี ส่วนดริปวิตามินผิวกี่ครั้งเห็นผล ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน รวมถึงการดูแลตัวเองหลังดริปผิวร่วมด้วย
อยากดริปผิวให้ขาวใส คุ้มค่า ปลอดภัย เห็นผลชัดเจนที่ Aura Bangkok Clinic พร้อมดูแล มีวิตามินให้เลือกหลายสูตร ตอบโจทย์ความต้องการและยังมีวิตามินเข้มข้นสูตร White Booster+ สูตรที่ดารา ไอดอล กลับมาดริปซ้ำมากที่สุด พร้อมทีมแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด มีมาตรฐานทุกขั้นตอน เพื่อผิวสวยสุขภาพดีที่คุณมั่นใจ
คำถามที่พบบ่อย
Q : ดริปวิตามิน ผิวขาวถาวรไหม
A: การดริปวิตามินผิวช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้ เมื่อดริปต่อเนื่องตามจำนวนครั้งที่แพทย์แนะนำ และดูแลผิวหลังดริปวิตามินอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทาครีมกันแดดที่มีค่าการป้องกันผิวด้วย SPF 50+ PA++++ ขึ้นไป ทาครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำความสะอาดผิวหลังเผชิญมลภาวะ ฯ
ทำไมดริปผิวแล้วผิวยังหมอง? เพราะเมื่อผิวโดนแดดแรงๆ ร่างกายจะผลิตเม็ดสีเมลานินออกมา ผิวจึงกลับมาหมอง ผิวกลับไปเป็นเฉดเดิมได้ ไม่เกี่ยวกับการหยุดดริปผิวแต่อย่างใด ดังนั้นเพื่อผิวที่กระจ่างใสยาวนาน ปรับสีผิวให้เห็นผลชัดเจนมากที่สุด ควรดริปผิวและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง
Q : ดริปวิตามินผิวขาวถาวรไหม จะกลับมาดำไหม
A: การดริปวิตามินอย่างต่อเนื่อง 1 ครั้ง/ สัปดาห์ ติดต่อกัน 3-5 ครั้ง ช่วยให้ปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้ ถ้าต้องการคงความกระจ่างใส หรือดูแลให้สีผิวไม่เข้มขึ้นเท่าเดิม แนะนำให้ดริปต่อเนื่องเรื่อยๆ ควบคู่กับการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง ส่วนการดริปวิตามินผิวครั้งเดียวแล้วหยุดดริป ไม่ได้ทำให้ผิวดำขึ้นมากกว่าตอนที่ไม่ดริปผิว
Q : ดริปผิวขาว รอกี่นาที?
A: ดริปผิว 1 กระปุก มีปริมาณวิตามิน 100 ml. ใช้เวลาดริปวิตามิน 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน
อ้างอิง
Skin Lightening IV Infusion Therapy. (n.d.). Wang Plastic Surgery & Med Spa. https://wangplasticsurgery.com/skin-lightening-iv-infusion-therapy/
JC. (2022, February 23). How Often Should I Get IV Therapy?. Mobile IV medics. https://mobileivmedics.com/how-often-iv-therapy/














